SINGER โชว์พอร์ตสินเชื่อรถทำเงินสตรอง แย้มปี 64 พร้อมขยายฐานกำไรให้เด่นขึ้น

669

SINGER ย้ำชัด สินเชื่อรถทำเงิน (C4C) โตแรง ปัจจุบันอยู่ที่ราว 2,700 ลบ. ขยายจากสิ้นปีก่อนกว่า 80% สะท้อนแผนการขยายตลาดสำเร็จ มีทีมขาย และฐานทุนที่แข็งแกร่ง พร้อมอัตราดอกเบี้ยรับเฉลี่ยต่อปีที่ 16% เป็นตัวเลขที่แข่งขันในตลาดได้ และมั่นใจสิ้นปีพอร์ตรถทำเงินโตกว่า 3,000 ล้านบาท หนุนอัตราดอกเบี้ยรับโตสูงกว่าเดิม และ NPL ในสิ้นปีนี้คาดต่ำกว่าปัจจุบันที่ 5.1% ด้านปี 2564 พร้อมขยายพอร์ตให้ทะยานโต หนุนกำไรเด่นขึ้น

กิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เปิดเผยว่า  ภาพรวมธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน “รถทำเงิน” (C4C) ปีนี้มีการเติบโตอย่างโดดเด่น  ปัจจุบัน ณ งวดไตรมาส 3/2563 มีพอร์ตสินเชื่อรถทำเงิน อยู่ที่ราว 2,700 ล้านบาท เติบโตจาก 1,500 ล้านบาท ในสิ้นปี 2562 และประมาณ 500 ล้านบาท ในช่วงสิ้นปี 2561 สะท้อนผลงาน 3 ปี มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น มีเสถียรภาพ และคิดเป็นประมาณ 50% ของพอร์ตสินเชื่อรวม ณ ปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 5,475 ล้านบาท

สำหรับกลุ่มลูกค้าสินเชื่อรถทำเงินของ SINGER เน้นไปที่รถประกอบการ ซึ่งเป็นกลุ่มรถบรรทุกสิบล้อเพื่อใช้ในกิจการ รวมทั้ง รถสี่ล้อขึ้นไป โดยมีอัตราดอกเบี้ยรับเฉลี่ยต่อปีที่ 16% พร้อมที่จะขยายตัวในปี 2564 หลังได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM) ในมติอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มเติมวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท รองรับการขยายพอร์ตในปีหน้าให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และสนับสนุนกำไรให้เด่นขึ้น

“ภาพรวมกำไรของ SINGER ในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 319 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 157.3% มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,591 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากปัจจัยสำคัญมาจากรายได้ดอกเบี้ยรับสินเชื่อรถทำเงิน (C4C) ที่เติบโตขึ้นชัดเจน จากกำลังทีมขายของเราที่แข็งแกร่ง พอร์ตที่โตขึ้น มีส่วนต่างกำไรที่ดี และการตั้งสำรองในระดับที่ต่ำ เนื่องจากสินเชื่อรถทำเงินมี NPL ต่ำมากเพียง 0.5%” กิตติพงศ์ กล่าว

สำหรับ ปีนี้ SINGER คาดการณ์มีพอร์ตสินเชื่อปิดสิ้นปี 2563 ที่ 6,200 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อรถทำเงินที่ประมาณ 3,400 ล้านบาท และภาพรวมหนี้ด้อยคุณภาพ( NPL) ต่ำกว่าไตรมาส 3/2563 ซึ่งอยู่ที่ 5.1 % ถือเป็นระดับที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากความสามารถในการขยายตลาด และการคุมต้นทุนได้ต่ำ เนื่องจากปัจจุบันเรามีทั้งบุคลากร และสาขารองรับเพียงพออยู่แล้ว