“พี่หมื่น” ประสานมือ “อาซา” ดึงคนไทยเข้าบ้านดื่มเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู สูตรใหม่

2257

การดื่มกาแฟในวันนี้ กลายเป็น Big Trend ของสังคมไทย จากเดิมที่การดื่มกาแฟมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ร่างกายสดชื่น ลดอาการง่วง  แต่วันนี้การดื่มกาแฟกลับเบลนด์เข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ของผู้คน โดยเฉพาะการดื่มกาแฟนอกบ้าน ที่ร้านกาแฟกลายเป็น Third Place ของการใช้ชีวิต เป็นที่ประชุม ที่คุยงาน พบปะเพื่อน และที่ผ่อนคลาย

ปัจจุบัน คนไทยโดยเฉลี่ยดื่มกาแฟปีละประมาณ 300 แก้วต่อคนต่อปี เทียบกับประเทศคอกาแฟระดับต้นๆ ของเอเชียอย่างญี่ปุ่น ที่ดื่มเฉลี่ย 400 แก้วต่อคนต่อปี ก็ถือว่าการดื่มกาแฟของคนไทยเติบโตขึ้นมากกว่าเมื่อทศวรรษที่ผ่านมา

แต่การเติบโตของการดื่มกาแฟกลับไม่ได้วิ่งเข้าหาแบรนด์กาแฟสำเร็จรูปที่วางขายอยู่ในตลาดมากนัก กลายเป็นคาเฟ่ ร้านกาแฟ ทั้งแบรนด์ดัง แบรนด์รอง รวมถึงแบรนด์ SME ที่วันนี้มีมูลค่าตลาดสูงถึง 26,700 ล้านบาท ขณะที่ตลาดกาแฟสำเร็จรูปที่ซื้อชงกินที่บ้าน หรือที่ทำงาน มีมูลค่าน้อยกว่าที่ 21,000 ล้านบาท เท่านั้น

นาริฐา วิบูลยเสข ผู้จัดการธุรกิจกาแฟปรุงสำเร็จ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ยอมรับว่า การเติบโตของตลาดกาแฟนอกบ้าน กระทบกับตลาดกาแฟในบ้านพอสมควร จากอดีตที่เนสกาแฟซึ่งเป็นผู้นำในตลาดกาแฟสำเร็จรูป จะมีการเติบสองหลักทุกปี กลับถดถอยอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งที่ตลาดกาแฟนอกบ้านเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น

แต่การที่กาแฟนอกบ้านเติบโตก็หมายถึงจำนวนผู้ดื่มกาแฟที่เติบโตมากขึ้น ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เนสกาแฟ จึงมุ่งไปในเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ สร้างนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการดื่มกาแฟของผู้บริโภค และหนึ่งนวัตกรรมที่สร้างความสำเร็จก็คือ เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู

แนวคิดของเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู คือการยกระดับของกาแฟปรุงสำเร็จ 3 in 1 ที่ส่วนใหญ่ใช้กาแฟโรบัสต้า ซึ่งให้รสชาติเข้มข้นเพียงอย่างเดียว ขณะที่เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู จะนำกาแฟอาราบิก้า ที่มีรสชาติหอม นุ่ม และเป็นกาแฟที่ดื่มกันในร้านกาแฟ เข้ามาผสมผสานกับโรบัสต้า และใช้เทคโนโลยีในการกักเก็บกลิ่น ที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของเนสกาแฟ  ความแตกต่างนี้ ทำให้ยอดขายกาแฟปรุงสำเร็จของเนสกาแฟ เติบโตขึ้นมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา และเติบโตถึง 6.2% ในปีที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดกาแฟปรุงสำเร็จโดยรวมที่มีมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบาท มีการเติบโตเพียง 4.2%  เพิ่มส่วนแบ่งตลาดกาแฟปรุงสำเร็จให้กับเนสกาแฟได้ถึง 52.9% และมียอดการดื่มเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู สูงถึง 1,500 ล้านแก้วต่อปี

“ในปีนี้ เนสกาแฟ เปิดตัว  ‘เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู’ สูตรใหม่! ที่พัฒนาล่าสุดเพื่อเอาใจและตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไปของคอกาแฟชาวไทย ด้วยการผสานของความเข้มเต็มรสของกาแฟโรบัสต้า และความนุ่มละมุนของกาแฟอาราบิก้าอย่างลงตัว ยกระดับความหอมยิ่งขึ้น รสชาติอร่อยขึ้น เข้มแต่นุ่มขึ้นอย่างลงตัว”

นาริฐา กล่าวว่า ผลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคพบว่า คนไทยชื่นชอบกับเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ตัวใหม่มากกว่าตัวเดิม ซึ่งถือเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 ของเนสกาแฟปรุงสำเร็จที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เพราะมีความหอมยิ่งขึ้น รสชาติอร่อยขึ้น เข้มแต่นุ่มขึ้น และการเปิดตัวในครั้งนี้ยังเป็นการเปิดตัวกาแฟปรุงสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของเนสกาแฟในรอบ 3 ปี

โดย เนสกาแฟได้จัดสรรงบประมาณกว่า 1,200 ล้านบาท ในการวางแคมเปญสื่อสารการตลาดเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรูใหม่  ด้วยการนำ  2 แบรนด์แอมบาสเดอร์ซูเปอร์สตาร์ระดับแม่เหล็ก  โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ เป็นตัวแทนรสชาติเข้ม ของกาแฟโรบัสต้าที่ และ เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข เป็นตัวแทนรสชาตินุ่มละมุนของกาแฟอาราบิก้า ซึ่งทั้งสองคนจะร่วมกันถ่ายทอดความเข้มและความนุ่มของเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ใหม่ผ่านทางภาพยนตร์โฆษณาและเว็บฟิล์มชุดใหม่ที่ได้ผู้กำกับภาพยนตร์ที่เคยฝากผลงานแฟนฉัน ต้น- นิธิวัฒน์ ธราธร พร้อมกับเพลงประกอบที่เคยโด่งดังในอดีตของวงไมโคร  “เอาไปเลย” นำมาคัฟเวอร์ใหม่โดยวงสล็อต แมชชีน  รวมทั้งกิจกรรมแจกผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู สูตรใหม่ถึง 10 ล้านแก้วให้กับผู้บริโภคทั่วประเทศอีกด้วย

เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู สูตรใหม่  วางจำหน่าย 4 รสชาติ ได้แก่ สูตรริชอโรมา ให้รสชาติกลมกล่อมลงตัว สูตรเอสเปรสโซ โรสต์ มอบรสชาติเข้มเต็มรส สูตรน้ำตาลน้อย ให้ความอร่อยลงตัว แต่น้ำตาลน้อยลง 25% และ ใหม่ล่าสุด! สูตรไม่มีน้ำตาลทราย สำหรับคนรักสุขภาพ ให้รสชาติอร่อยเข้ม กลมกล่อม แบบไม่หวาน ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศ

นาริฐา วางเป้าหมายไว้ว่า ยอดขายในกลุ่มกาแฟปรุงสำเร็จในปีนี้จะต้องเติบโตมากกว่าการเติบโตของตลาดเหมือนดังเช่นปีที่ผ่านมา และช่วยดึงผู้ดื่มที่เคยเพลิดเพลินกับการดื่มกาแฟในคาเฟ่ ให้กลับมาดื่มกาแฟที่บ้านมากขึ้น