เปิดอาณาจักรแสนล้าน “เจ้าสัว-วิชัย ศรีวัฒนประภา” เจ้าของ “คิงเพาเวอร์-เลสเตอร์ซิตี้”

4352

เป็นข่าวช็อกวงการธุรกิจของไทยและวงการลูกหนังทั่วโลกอย่างมากเมื่อสื่อต่างประเทศทุกสำนักแห่รายงานเหตุเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ของทีมผู้บริหารสโมสรฟุตบอล “เลสเตอร์ซิตี้” หรือ จิ้งจอกสีน้ำเงิน ประสบเหตุขัดข้องและตกลงบริเวณใกล้สนามคิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ หลังจากแมทช์การแข่งขันระหว่างทีมเลสเตอร์ซิตี้กับเวสต์แฮมยูจบลง ในช่วงค่ำของวันที่ 27 ตุลาคม (เวลาที่อังกฤษ) ซึ่งตรงกับวันที่ 28 ตุลาคม 2561

โดยทุกสื่อรายงานเป็นทางเดียวกันหมดว่า “วิชัย ศรีวัฒนประภา” นักธุรกิจเจ้าของกิจการดิวตี้ฟรี “คิง เพาเวอร์” และประธานสโมสรฟุตบอล “เลสเตอร์ซิตี้” อยู่ในเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวด้วย

www.362degree.com  จึงขอนำเสนอให้ข้อมูลธุรกิจในเครือข่ายของ “วิชัย ศรีวัฒนประภา”  ในอีกแง่มุมหนึ่งมาให้อ่านกันดังนี้

วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ และประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้

วิชัย ศรีวัฒนประภา  เริ่มต้นสร้างธุรกิจและสร้างชื่อเสียงด้วยการก่อตั้งบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวติ้ฟรี จำกัด ในปี 2532 และชนะการประมูลเข้าให้บริการร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินตั้งแต่ปี 2549 ที่สำคัญยังเป็นบุคคลที่ครบเครื่องทั้งเครือข่ายธุรกิจและขุมข่ายอำนาจการเมือง แวดวงกีฬา รวมถึงวงการพระเครื่อง

โดย “วิชัย” ถือเป็นมหาเศรษฐีไทยคนที่ 2 ที่เข้าไปซื้อ “เลสเตอร์ซิตี้” หรือ “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” สโมสรฟุตบอลอาชีพของอังกฤษ ในปี 2553 หลังจากที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ได้ไปบุกเบิกด้วยการซื้อทีม “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ในปี 2550 โดยใช้เงินสำหรับซื้อสโมสรเลสเตอร์ซิตี้ในช่วงนั้นถึงราว  5,000 ล้านบาท

ว่ากันว่า การเข้าซื้อสโมสรฟุตบอล “เลสเตอร์ซิตี้” นั้นถือเป็นความฝันอันหนึ่งของ “วิชัย” เลยก็ว่าได้ เพราะก่อนจะซื้อเขาได้ชิมลางตลาดวงการลูกหนังชั้นนำมาก่อนหน้านั้นนับ 10 ปี ด้วยการเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนทีมเชลซี และซื้อโฆษณาบนขอบสนามการแข่งขันฟุตบอลอาชีพในทวีปยุโรป พร้อมๆ กับการมองหาทีมฟุตบอลเล็กๆ เพื่อนำมาปั้นให้เติบโต

ขอบคุณภาพจาก : ขอบสนาม

เพียงไม่กี่ปีสโมสร “เลสเตอร์ซิตี้” ก็ทะยานขึ้นสู่หัวตาราง พร้อมทั้งคว้าแชมป์ลีกแชมเปี้ยนชิปได้ในฤดูกาล 2013-2014 ทำให้ได้สิทธิ์กลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ก่อนประสบความสำเร็จถึงขีดสุดเมื่อคว้าแชมป์พรีเมียร์ได้ในฤดูกาล 2015-2016 (2558-2559) ซึ่งถือเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าแรกให้สโมสรแห่งนี้

นับจากนั้นเป็นต้นมาทีม “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” ก็ได้รับฉายาใหม่จากสื่อมวลชนและแฟนบอลชาวไทยว่า “จิ้งจอกสยาม” ที่สร้างความภาคภูมิใจให้คนไทยเป็นอย่างมาก

“วิชัย ศรีวัฒนประภา” กลายเป็นนักธุรกิจที่ติดอันดับความร่ำรวยอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2560 ที่ผ่านมานิตยสารฟอร์บส์ ระบุว่า นายวิชัย ศรีวัฒนประภา เป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย โดยมีทรัพย์สินทั้งหมดราว 155,000 ล้านบาท

และปี 2561 นี้นิตยสารฟอร์บส์ ยังได้จัดอันดับให้ “วิชัย” เป็น “อภิมหาเศรษฐี”  ลำดับ 5 ของไทย ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 1.62 แสนล้านบาทสำหรับธุรกิจดิวตี้ฟรี (Duty Free) ภายใต้แบรนด์  “คิง เพาเวอร์”  นั้น  “วิชัย” ได้เตรียมแผนส่งต่อธุรกิจให้กับ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา และ “วรมาศ ศรีวัฒนประภา” ทายาทธุรกิจรุ่น2 แล้ว พร้อมทั้งวางแผนธุรกิจว่า “คิง พาเวอร์” จะเดินหน้าลงทุนในเส้นทางธุรกิจที่ถนัดเท่านั้น  และจะใช้ศักยภาพของ 3 ธุรกิจมาผนวกจุดขายเข้าด้วยกันคือ ธุรกิจการท่องเที่ยว ดิวตี้ฟรี และกีฬาฟุตบอล

ปัจจุบัน “คิง เพาเวอร์” เปิดให้บริการครอบคลุมทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ประกอบด้วย คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ (กรุงเทพฯ), คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ พัทยา (ชลบุรี), คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ ศรีวารี (กรุงเทพฯ), คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ ภูเก็ต และคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ณ ท่าอากาศยาน 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานดอนเมือง, สุวรรณภูมิ, เชียงใหม่, หาดใหญ่, ภูเก็ต และอู่ตะเภา

ทั้งนี้ จากรายงานของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ปัจจุบันนายวิชัย ศรีวัฒนประภา ถือครองหุ้นอยู่ในบริษัทต่างๆ รวม 8 บริษัท (ไม่รวมในส่วนของนางเอมอร ศรีวัฒนประภา, นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา และนางสาว วรมาศ ศรีวัฒนประภา) ประกอบด้วย 1.บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด 2.บริษัท คิง เพาเวอร์ มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ เมเนจเมนต์ จำกัด 3. บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด 4. บริษัท คิง เพาเวอร์ แท็กซ์ฟรี จำกัด 5. บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 6. บริษัท คิง เพาเวอร์ เอวิเอชั่น จำกัด 7. บริษัท คิง เพาเวอร์ โฮเทล แมเนจเมนท์ จำกัด และ 8. บริษัท วี แอนด์ เอ โฮลดิ้ง จำกัด (ดูตารางประกอบ)

บริษัทที่สร้างรายได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท ปี 2560 มีสินทรัพย์รวม 54,263.94 ล้านบาท มีรายได้รวม 56,151.74  ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,944.99 ล้านบาท 2. บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท ปี 2560 มีสินทรัพย์รวม 8,122.71 ล้านบาท มีรายได้รวม 35,633.72 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,838.12 ล้านบาท 3. บริษัท คิงเพาเวอร์ แท็กซ์ฟรี จำกัด ทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท ปี 2560 มีสินทรัพย์รวม 1,662.20 ล้านบาท มีรายได้รวม 5,467.59 ล้านบาท กำไรสุทธิ 218.63 ล้านบาท

4. บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ปี 2560 มีสินทรัพย์รวม 13,283.77 ล้านบาท มีรายได้รวม 5,324.10 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,764.80 ล้านบาท และ 5. บริษัท วี แอนด์ เอ โฮลดิ้ง จำกัด ทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท ปี 2560 มีสินทรัพย์รวม 9,225.25 ล้านบาท มีรายได้รวม 4,023.93 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,755.64 ล้านบาท

โดยทั้ง 8 บริษัทดังกล่าวนี้มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้นราว 8.83 หมื่นล้านบาท และในปี 2560 ทั้ง 8 บริษัทสร้างรายได้รวมประมาณ 1.07 แสนล้านบาท คิดเป็นกำไรที่ประมาณ 1.14 หมื่นล้านบาท