แบรน์จีนร่วมขย่มผู้นำตลาดสมาร์ทโฟน ส่ง “ออปโป้” ขึ้นแท่นเบอร์ 2

1425

แม้วันนี้ตลาดมือถือในประเทศไทย จะมีจำนวนเลขหมายที่จดทะเบียนใช้งานสูงกว่าจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ  แสดงให้เห็นว่า คนไทยเกือบทั้ง 100% มีโทรศัพท์มือถือใช้งาน ส่งผลให้ตลาดเริ่มหาการเติบโตในแต่ละปีไม่ได้ แต่การแข่งขันในตลาดมือถือไม่เคยลดดีกรีความร้อนแรงลงตามเลย

สีสันของการแข่งขันในตลาดมือถือที่แตกต่างไปจากตลาดสินค้าอื่นๆ คือ การเป็นตลาดที่ไม่เคยมีเจ้าตลาดแบรนด์ใดอยู่ได้นาน แม้จะเคยครองส่วนแบ่งตลาดมากเพียงใด  ก็มีสิทธิ์ถอยหลังการเป็นแบรนด์ที่ถูกลืมได้

ครั้งหนึ่งโนเกีย และโมโตโรล่า คือ 2 แบรนด์ที่ครองตลาดมือถือไทยเกือบ 70-80%  แต่ 2 แบรนด์ผลไม้ แอปเปิล และแบล็คเบอร์รี่  ก็ทำเอา 2 แบรนด์ผู้นำเดิม หายวับไปจากตลาด  และเมื่อซัมซุงเข้ามา ก็ส่งแบล็คเบอร์รี่ ลาตลาดตามไป วันนี้กองทัพสมาร์ทโฟนจากประเทศจีน กำลังก้าวขึ้นมาท้าชิงตำแหน่งขอเปลี่ยนตำแหน่งผู้นำตลาดอีกครั้ง

และหนึ่งในแบรนด์จีนที่วันนี้ครองส่วนแบ่งตลาดเบียดชิดกับผู้นำตลาดมากที่สุด คือ “ออปโป้”

ชานนท์ จิรายุกุล ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายขาย บริษัท ไทย ออปโป้ จำกัด กล่าวว่า ตลาดมือถือเมืองไทยปัจจุบันมีมูลค่าราวปีละ 1.4 แสนล้านบาท หรือราว 20 ล้านเครื่อง ทรงตัวเช่นนี้มาหลายปี แต่สภาพตลาดกลับมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ผู้นำตลาดในครองส่วนแบ่งตลาดสูงโด่ง วันนี้ ผู้นำตลาดอันดับ 1-3 มีส่วนแบ่งตลาดห่างกันเพียงหลักหน่วยเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

เพราะการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้นำตลาดมือถือทุกครั้ง ล้วนเกิดจากนวัตกรรมที่แบรนด์ที่เคยเป็นผู้นำตามไม่ทัน 2 ยักษ์ฟีเจอร์โฟน พ่ายแพ้ต่อ 2 แบรนด์สมาร์ทโฟน  แบรนด์ที่ยึดมั่นกับปุ่มกด พ่ายแพ้ต่อผู้นำของการสไลด์หน้าจอ  และแบรนด์ที่มีความหลากหลายมากกว่า ก็สามารถขึ้นมาครองตลาดได้

ชานนท์ ให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า เป็นเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคต้องการมือถือที่มีนวัตกรรม แบรนด์ใดสามารถนำเสนอนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาได้ก็จะได้รับความนิยม  ซึ่งการที่ออปโป้ก้าวขึ้นมามีส่วนแบ่งตลาดอยู่ในอันดับ 2 ได้ เพราะออปโป้คือผู้นำด้านนวัตกรรม ที่เป็นบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่มีสิทธิบัตรด้านนวัตกรรมมากที่สุดในโลก

ในปีนี้ ถือเป็นปีที่ออปโป้ เข้าสู่ตลาดเมืองไทยครบ 10 ปี และเป็นแห่งความสำเร็จด้วยอัตราการเติบโตในไตรมาส 2 ที่สูงสุดนับตั้งแต่ทำตลาด  ครองตำแหน่งแบรนด์สมาร์ทโฟนอันดับ 2 ของไทยเบ็ดเสร็จทั้งจำนวนเครื่องและมูลค่ายอดขาย จากความสำเร็จของOPPO F7  สมาร์ทโฟนรุ่นกลางที่นำเสนอนวัตกรรมของกล้องเซลฟี และการออกแบบ รวมถึง OPPO Find X สมาร์ทโฟนเรือธงที่นำเสนอนวัตกรรมดีที่สุดในตลาด

“ความสำเร็จของเราในไตรมาส 2 เกิดจากความมุ่งมั่นในการนำเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีที่โดดเด่น ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ และการใช้กลยุทธ์และกิจกรรมทางการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการรักษาความเป็นผู้นำอันดับสองในตลาดสมาร์ทโฟนไทย เราจะยังคงดำเนินกลยุทธ์ในการรักษาภาพลักษณ์ในฐานะแบรนด์รุ่นใหม่และโดดเด่นเรื่องแฟชั่น ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและคุณสมบัติการใช้งานที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค และการบริการที่ดีที่สุด มีบริการหลังการขายที่มีคุณภาพสามารถซ่อมได้เร็วโดยใช้เวลาแค่เพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น และสามารถเข้าทั่วทุกพื้นที่ด้วยศูนย์บริการกว่า 40 แห่งทั่วประเทศ” ชานนท์กล่าว

และในไตรมาส 3  ออปโป้ก็เปิดตัวสมาร์ทโฟนในซีรีส์ F รุ่นล่าสุด OPPO F9 ที่ยังคงแนวคิดในการนำนวัตกรรมมานำเสนอ ตั้งแต่การใช้ ชิปประมวลผล MediaTek Helio P60 Octa-core 2.0 GHz ซึ่งมีจุดเด่นสามารถรองรับการใช้งานที่หนักหน่วงทั้งการเล่นเกม และการใช้งานแอพหลายตัวพร้อมกัน อีกทั้งยังประหยัดพลังงาน กล้อง AI อัจฉริยะ ช่วยให้ประมวลผลการวิเคราะห์ภาพถ่ายในโหมด Bokeh และการทำงานของเซ็นเซอร์ HDR ได้แบบเรียลไทม์ รวมทั้งระบบจดจำต่าง ๆ ทั้ง ระบบจดจำใบหน้า เสียง และ Face ID

จุดเด่นสำคัญ OPPO F9 เป็นสมาร์ทโฟนซีรีย์ F รุ่นแรกที่มาพร้อมเทคโนโลยี VOOC Flash Charge  ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอยู่ในสมาร์ทโฟนระดับบน เพราะเป็นเทคโนโลยีที่มีราคาแพง โดยชาร์จเร็วเพียง 5 นาที สามารถโทรคุยได้นาน 2 ชั่วโมง  และเป็นครั้งแรกในวงการสมาร์ทโฟนกับหน้าจอรอยบากทรงหยดน้ำขนาด 6.3 นิ้ว พื้นที่หน้าจอแสดงผล 90.8% ที่ให้ภาพที่เต็มตา ขอบเครื่องและฝาหลังพ่นสีไล่เฉด พร้อมลวดลายกลีบดอกไม้ที่ฝาหลัง เพิ่มมิติและลวดลายที่เปล่งประกายตามมุมมองที่แตกต่าง พร้อมหน่วยความจำแรม 6GB สูงที่สุดในกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับเดียวกัน

ชานนท์กล่าวว่า พฤติกรรมการใช้มือถือในปัจจุบัน เริ่มมีการเปลี่ยนเครื่องใหม่เร็วขึ้น จากเดิมค่าเฉลี่ยอยู่ราว 2 ปี ปัจจุบันลดลงเหลือ 1 ปีกว่า เพราะตลาดยังมีการแข่งขันกันสูง มีการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมา ทำให้ผู้บริโภคได้ใช้สมาร์ทโฟนที่มีนวัตกรรมมากขึ้น ในราคาที่ถูกลง โดยเฉพาะแบรนด์สมาร์ทโฟนจากประเทศจีน ที่มีการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งมากขึ้น  ซึ่งการที่แบรนด์จีนมีความแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างน้อย 3 แบรนด์เช่นนี้ ก็ถือเป็นเรื่องดีที่จะช่วยกันชิงส่วนแบ่งตลาดจากแบรนด์ผู้นำในปัจจุบัน ให้ลดลงมีส่วนแบ่งอยู่ในระดับ 20% ด้วยกันทั้ง 3 แบรนด์ผู้นำตลาด

แต่แม้ส่วนแบ่งตลาดจะเบียดกันใกล้ชิดขนาดนี้ ชานนท์ มองว่า ออปโป้ก็ยังไม่ได้วางเป้าหมายในการก้าวไปเป็นผู้นำตลาด ขอรักษาส่วนแบ่งตลาดนี้ไว้ และนำเสนอนวัตกรรมสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ก็เชื่อว่า จากแบรนด์ที่คนไทยเคยไม่มั่นใจว่า จะเข้ามาทำตลาดจริงจังแค่ไหน  มาถึงวันนี้ 10 ปี การยอมรับ และความมั่นใจในแบรนด์ออปโป้ของคนไทยที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ   ก็อาจจะส่งให้ออปโป้มีโอกาสก้าวเป็นผู้นำตลาดได้ในอนาคต