หายหน้าไป 20 ปี ปูน “สิงห์ มอร์ตาร์” กลับมารุกตลาด

3050

ย้อนกลับไปเมื่อราว 20 ปี ก่อนการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง  ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เคยรุ่งเรืองถึงขีดสุด (จนเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ) การก่อสร้างอาคารสำนักงาน โครงการที่พักอาศัยผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แน่นอนว่าตลาดอุปกรณ์ก่อสร้างก็พลอยฟ้าพลอยฝน รับอานิสงส์ของการเติบโตนี้ด้วย

ในเวลานั้น ตลาดปูนซิเมนต์ ได้เกิดแบรนด์ปูนซิเมนต์สำหรับใช้ในการก่อสร้างแนวใหม่ ในชื่อ “สิงห์ มอร์ตาร์” ปูนซิเมนต์มอร์ตาร์แบรนด์แรกของเมืองไทย

ปูนมอร์ตาร์”  คือ ปูนที่ผสมทรายและสารพิเศษในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับการใช้งานต่าง ๆ ไว้แล้วในถุง ผู้ใช้เพียงผสมน้ำสะอาดตามสัดส่วนที่กำหนดก็สามารถใช้งานได้ ไม่ต้องผสมทราย เหมือนปูนซิเมนต์ทั่วไป   สามารถใช้งานได้ทั้งการก่อและฉาบ และเหมาะกับการใช้กับอิฐมวลเบาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา บริษัท ไวท์คลาวน์ จำกัด เจ้าของแบรนด์สิงห์ มอร์ตาร์ เน้นการทำธุรกิจโดยการรับจ้างผลิตปูนมอร์ตาร์ให้กับบริษัทปูนรายใหญ่ในตลาด และการผลิตส่งเข้าโครงการอสังหาริมทรัพย์โดยตรง ขณะที่แบรนด์สิงห์ มอร์ตาร์ ก็ทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย โดยไม่ได้มีการสร้างแบรนด์ผ่านสื่อ หรือจัดกิจกรรมการตลาดอย่างจริงจังตลอด 2 ทศวรรษ

แต่วันนี้ เทรนด์การก่อสร้างมีแนวโน้มที่จะเป็นโอกาสของปูนซิเมนต์มอร์ตาร์ ทำให้ผู้บริหารไวท์คลาวน์ ตัดสินใจกลับมาสร้างแบรนด์ “สิงห์ มอร์ตาร์”  ใหม่อีกครั้ง

เทคโนโลยีของอุปกรณ์ก่อสร้างที่พัฒนาขึ้น ทั้งอิฐมวลเบา ผนังพรีคาสท์ หรือแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์บอร์ด ไม่สามารถใช้กับปูนซิเมนต์แบบเดิมได้ ต้องใช้ปูนซิเมนต์มอร์ตาร์เท่านั้น  ทำให้ตลาดปูนซิเมนต์มอร์ตาร์เติบโตสวนตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา โดยเติบโตขึ้นทุกปีราว 10% ต่อปี

ปัญหาค่าแรงคนงานก่อสร้างที่สูงขึ้น คือปัญหาใหญ่ของวงการก่อสร้าง การใช้ปูนซิเมนต์แบบเดิม ที่ต้องตวงทรายมาผสม ทำให้เสียเวลานาน ค่าแรงแพงขึ้น ขณะที่ปูนซิเมนต์มอร์ตาร์ เพียงผสมน้ำ ก็สามารถใช้งานได้ ลดเวลาการทำงานลง และยังได้ปูนที่มีคุณภาพสม่ำเสมอกว่า

คุณสมบัติของปูนซิเมนต์มอร์ต้าที่มีน้ำหนักเบา ปูนซิเมนต์มอร์ตาร์ขนาด 40 กิโลกรัม สามารถฉาบได้เท่ากับปูนซิเมนต์ปกติขนาด 50 กิโลกรัม ทำให้น้ำหนักบ้านที่สร้างเสร็จลดลงจากน้ำหนักปูนซิเมนต์ที่ลดลง เฉลี่ย 4 ตันต่อหลัง

ทั้งหมดคือปัจจัยที่ทำให้โอกาสของปูนซิเมนต์มอร์ตาร์เปิดกว้างขึ้น

นที เมฆรุ่งโรจน์ ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไวท์คลาวน์ จำกัด เผยว่า ในปี 2561 ไวท์คลาวน์จะเดินหน้ารุกตลาดอย่างเข้มข้น ทั้งการรีแบรนด์ดิ้งเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี โดยมุ่งสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ให้กับกลุ่มลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น การขยายตัวแทนจำหน่ายเพื่อกระจายสินค้าออกสู่ตลาดให้กว้างขึ้น การปรับปรุงและเพิ่มรูปแบบการบริการ เพื่อการให้บริการที่เป็นเลิศ  การปรับปรุงเครื่องจักร และกระบวนการผลิตให้ทันสมัย รวมถึงการนำเสนอนวัตกรรมของปูนซิเมนส์มอร์ตาร์ที่ไม่เคยมีในตลาด ตอบโจทย์ความต้องการการก่อสร้างรูปแบบใหม่ๆ

โดยการรีแบรนด์และสร้างการรับรู้แบรนด์ “สิงห์ มอร์ตาร์”  ด้วยสโลแกนใหม่ “ปูนสดที่แข็งแรงกว่า” จะเริ่มจากการเปิดตัวด้วยกิจกรรมการตลาดและประชาสัมพันธ์และทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น ในงานสถาปนิก’61  ซึ่งถือเป็นงานใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับวงการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์  โดย สิงห์มอร์ตาร์ ได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าที่ตัดสินใจเปิดออเดอร์ภายในงาน และยังมีกิจกรรมสาธิต เวิร์คช้อป และบริการให้คำปรึกษาจากหมอปูน ซึ่งเป็นหนึ่งในบริการของบริษัทฯ ตลอดระยะเวลาการร่วมงาน ตั้งแต่วันที่ 1-6 พฤษภาคมนี้ ณ บูธ D206  ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพคเมืองทองธานี

ด้านการบริการ ไวท์คลาวน์จับมือกับกลุ่มพันธมิตรชั้นนำที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าให้ได้มากที่สุด อีกทั้งยังนำเสนอการให้บริการที่เป็นเลิศแก่ลูกค้า ในด้านต่างๆ ประกอบด้วย

Fast One สั่งด่วนได้เลย บริการแบบครบวงจรภายใน 1 วัน ขณะที่แบรนด์อื่นต้องระยะเวลาการส่ง 2-3 วัน

บริการหมอปูน  ให้คำปรึกษาครบเครื่องเรื่องปูน ไม่ว่าจะเป็นการอบรมช่างหน้างาน, การสนับสนุนการทดสอบหน้างานจริง และความเอาใจใส่ดูแลตรวจสอบงานของลูกค้า

-QC Pass สัญลักษณ์การรับประกันการตรวจสอบคุณภาพจาก สิงห์มอร์ตาร์ ด้วยระบบ QC Checking ที่บริษัทเป็นผู้คิดค้นขึ้นมา

ในด้านกระบวนการผลิต ไวท์คลาวน์ มีโรงงานผลิตที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ มีกระบวนการผลิตด้วยเครื่องจักรที่มีคุณภาพสูง และใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยตามมาตรฐานสากล ตั้งอยู่ในจังหวัดราชบุรี  ภายใต้มาตรฐาน ISO มีไลน์การผลิตรองรับถึง 8 ไลน์  ซึ่งสามารถผลิตได้สูงสุดถึงวันละ 2,000 ตัน  โดยปัจจุบันทำการผลิตวันละ 1,600 ตันและยังมีการพัฒนาและวิจัยอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ท้องตลาด ด้วยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและใส่ใจในทุกกระบวนการและขั้นตอนการผลิต

ขณะที่นวัตกรรมที่สิงห์มอร์ตาร์มีเพียงเจ้าเดียวในตลาด เปิดตัวในปีนี้เพื่อรองรับความต้องการของการก่อสร้างด้วยวัสดุใหม่ๆ ที่มีมากขึ้น  ประกอบด้วย

  • สิงห์มอร์ตาร์ SF01ปูนไฟเบอร์โค้ท สีเทา ใช้ฉาบพื้นผิวและปิดรอยต่อแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์และสามารถฉาบได้บนพื้นผิวที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ผนังปูนทั่วไป, ไฟเบอร์ซีเมนต์, โฟม และเหล็ก
  • สิงห์มอร์ตาร์ SC01 ปูนไลท์เวทโค้ท สีเทา ใช้ฉาบพื้นผิวและปิดรอยต่อผนังพาแนลมวลเบา และสามารถฉาบได้บนพื้นผิวที่หลากหลาย
  • สิงห์มอร์ตาร์ SG01 ปูนกาวซุปเปอร์กลู ใช้งานปูกระเบื้องขนาดใหญ่พิเศษ, ปูกระเบื้องทับกระเบื้องเก่า

ด้าน วรวิทย์ เมฆรุ่งโรจน์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไวท์คลาวน์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีการเตรียมงบประมาณ จำนวนกว่า 100 ล้านบาท ในการทำการตลาด  พัฒนาปรับปรุงโรงงานผลิตและเครื่องจักรให้ทันสมัย สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาลที่มุ่งเน้นให้โรงงานมีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรและการผลิต ลดต้นทุนการผลิตในระยะยาว และป้องกันปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอนาคต และจากเป้าหมายของปีนี้ทำให้บริษัทฯ คาดการณ์ว่าจะเข้ามามีส่วนแบ่งในตลาดปูนซิเมนต์มอร์ตาร์ที่มากขึ้น และเติบโตมากกว่า 40%

ปัจจุบันตลาดปูนซิเมนต์มอร์ตาร์ หากคำนวณจากปริมาณการก่อสร้างบ้านจัดสรรที่มีอยู่ราว 80,000 หลังต่อปี ที่ต้องฉาบด้วยปูนซิเมนต์มอร์ตาร์ทุกหลัง ก็คาดว่าจะมีมูลค่าราว 10,000 ล้านบาทต่อปี

โดยตลาดปูนซิเมนต์มอร์ตาร์ส่วนใหญ่ 80-90% จะอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งการขยายตลาดให้กับปูนซิเมนต์สิงห์ มอร์ตาร์ ก็จะเริ่มขยายไปที่เขตภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคใต้ ที่อยู่ใกล้กับโรงงานราชบุรี  โดยจะเข้าไปสู่ผู้ค้ารายใหญ่ที่มีเครือข่ายร้านค้ารายย่อยอยู่เป็นลำดับแรก ก่อนที่จะขยายพื้นที่ไปสู่ภาคอื่นและขยายตลาดลงไปสู่ร้านค้ารายย่อยเอง  ซึ่งผู้บริหารไวท์คลาวน์มองเป้าหมายว่า หากสามารถดึงส่วนแบ่งการตลาดปูนซิเมนต์มอร์ตาร์ได้ราว  10% ก็ถือว่าน่าพอใจ

ในปีที่ผ่านมา ไวท์คลาวน์มีรายได้จากการขายปูนซิเมนต์มอร์ตาร์ 500 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนเป็นการรับจ้างผลิต 70% และผลิตให้กับสิงห์มอร์ตาร์ 30%  ซึ่งการรุกตลาดให้กับสิงห์มอร์ตาร์นี้  ผู้บริหารไวท์คลาวน์ ตั้งเป้าว่า จะขยายสัดส่วนรายได้ของสิงห์มอร์ตาร์ ขึ้นมาเป็น 50% เท่ากับการรับจ้างผลิตได้ภายใน 1-2 ปีนี้