TNR คว้าแบรนด์อินเตอร์ PLAYBOY ลุยตลาดถุงยางโลก

1963

หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า ประเทศไทยมีโรงงานผลิตถุงยางอนามัยที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกตั้งอยู่

บมจ. ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ หรือ TNR คือบริษัทผู้ผลิตถุงยางอนามัยที่ก่อตั้งมาร่วม 25 ปี โดยในวันนี้มีโรงงาน 2 แห่ง ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง จังหวัดชลบุรี มีกำลังการผลิตรวมต่อปีสูงถึงกว่า 1,900 ชิ้น ซึ่งถือว่ามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

บทบาทของ TNR ในตลาดถุงยางอนามัยที่ผ่านมา คือผู้รับจ้างผลิตถุงยางตามออเดอร์ลูกค้า(OEM)  และมีแบรนด์สินค้าที่สร้างขึ้นเองคือ ONETOUCH และ Niptex  โดยมีรายได้หลักถึง 90% จากการผลิตสินค้า OEM และหนึ่งในผู้ว่าจ้างผลิตก็คือ แบรนด์ดังอย่าง PLAYBOY

แต่วันนี้ ผู้ทำการตลาดให้กับถุงยางอนามัยแบรนด์ PLAYBOY ทั่วโลก เป็นสิทธิ์ของ TNR

ดิวนี้ถือเป็นการรุกขยายธุรกิจครั้งใหญ่ ของ TNR หลังคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติเข้าทำรายการซื้อสิทธิ์การขายและทำการตลาดถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นแบรนด์ PLAYBOY ทั่วโลก ต่อจาก United Medical Devices หรือ UMD ที่ได้รับใบอนุญาตจาก Playboy Enterprises International, Inc. (“Playboy”) ประเทศสหรัฐฯ ด้วยงบลงทุน 15 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณกว่า 471 ล้านบาท พร้อมรับสิทธิในการขายและทำการตลาดถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นภายใต้แบรนด์ PLAYBOY ใน 188 ประเทศทั่วโลก ซึ่งปัจจุบัน UMD ทำการตลาดอยู่แล้วใน 34 ประเทศ

 

อมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในไทยและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องภายใต้แบรนด์ ONETOUCH และ Niptex เผยว่า บริษัทฯ ได้สิทธิ์ในการขายและทำการตลาดถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นแบรนด์ PLAYBOY ทั่วโลกเป็นระยะเวลา 10 ปี และต่อสัญญาอัตโนมัติทุก ๆ ปี ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดตามสัญญา จากเดิมที่บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตถุงยางอนามัยแบรนด์ PLAYBOY และเป็นตัวแทนจำหน่ายของ UMD ในประเทศไทย จากการศึกษาภายในของบริษัทฯ พบว่าการเข้าซื้อสิทธิ์ดังกล่าวสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี จากการประเมินอัตราผลตอบแทนภายในจากการลงทุน (Internal Rate of Return หรือ IRR) ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 (คำนวณจากฐานลูกค้า 34 ประเทศที่ UMD ทำการตลาดในปัจจุบัน)  ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมยอดขายของบริษัทฯ โดยคาดการณ์ว่ายอดขายปี 2561 จะเติบโตร้อยละ 30 จากปีก่อนซึ่งมียอดขายรวม 1,294 ล้านบาท

“ทางบริษัทฯ เป็นผู้ผลิตถุงยางอนามัยภายใต้แบรนด์ PLAYBOY ให้กับลูกค้าของ UMD มาเป็นเวลานาน รวมทั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายถุงยางอนามัยแบรนด์ PLAYBOY ในประเทศไทย จึงมองเห็นการเติบโตและโอกาสในการขยายตลาดในระดับโลก ซึ่งทาง PLAYBOY ได้ให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นกับTNR ทั้งในด้านคุณภาพการผลิตและการตลาด จึงได้ตัดสินใจให้ความยินยอมในการโอนสิทธิ์นี้กับทางบริษัทฯ โดยการตัดสินใจลงทุนครั้งนี้จะทำให้ TNR มีศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นหลังจากได้แบรนด์ PLAYBOY เข้ามาทำตลาดเพิ่มเติม จากปัจจุบันที่มีแบรนด์สินค้าของตนเองคือ ONETOUCHและ Niptex โดย PLAYBOY นับว่าเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลกที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายตลาดต่างประเทศและทำให้บริษัทฯ มียอดขายจากสินค้าที่ผลิตภายใต้แบรนด์ของตนเองเพิ่มขึ้น” อมร กล่าว

โดยแผนการทำตลาดถุงยางอนามัย PLAYBOY จะมีการตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาดูแล และคาดว่าจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท และอาจมีที่ทำการอยู่ในลอสแองเจลิส โดยสหรัฐอเมริกาจะเป็นตลาดแรกที่ TNR จะเข้าไปทำตลาดถุงยางอนามัย PLAYBOY เพราะเป็นตลาดถุงยางอนามัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก  ก่อนจะเข้าไปทำตลาดเอเชีย และยุโรปต่อไป ผู้บริหาร TNRคาดว่าภายในเวลา 2 ปี จะสามารถทำตลาด PLAYBOY ได้ถึงครึ่งโลก

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TNR กล่าวว่า แผนการตลาดนับจากนี้ได้วางตำแหน่งแบรนด์ PLAYBOY ในต่างประเทศเป็นสินค้าระดับบน แบรนด์ ONETOUCH เป็นสินค้าระดับกลาง-บน และแบรนด์ Niptex เป็นสินค้าระดับกลางซึ่งปัจจุบันวางจำหน่ายในประเทศเวียดนาม จากแผนดังกล่าว จะทำให้บริษัทฯ มีสินค้าที่จับตลาดหลากหลายเซกเมนต์ โดยหลังจากทำสัญญาซื้อใบอนุญาตจาก UMD เป็นที่เรียบร้อย ได้วางแผนจัดทีมงานด้านการขายและการตลาดเข้าไปช่วยคู่ค้าในประเทศต่าง ๆ เปรียบเสมือนเป็นพาร์ทเนอร์ ให้การสนับสนุนด้านการตลาดและร่วมกันพัฒนาตลาดอย่างจริงจังเพื่อเพิ่มยอดขายสินค้าในแต่ละประเทศ

ขณะเดียวกัน ได้วางแผนพัฒนาสินค้าใหม่ถุงยางอนามัยภายใต้แบรนด์ PLAYBOY ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในต่างประเทศ รวมทั้งยังได้เตรียมแผนพัฒนาเพิ่มรายได้จากการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เจลหล่อลื่นภายใต้แบรนด์ PLAYBOY ซึ่งมีโอกาสทางการตลาดอีกมาก

โดยอมรวางเป้าหมายว่า TNR จะติดปีกให้กับแบรนด์ถุงยางอนามัย PLAYBOY ก้าวขึ้นเป็นแบรนด์ผู้นำในตลาดระดับพรีเมียมได้ในเวลา 5 ปี

ด้านสุวัฒน์ สุขลาภวณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน และบัญชี  บมจ. ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าการซื้อสิทธิ์การขายและทำการตลาดถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นแบรนด์ PLAYBOY จะได้ผลตอบแทนที่ดี และมีอนาคตในการสร้างผลกำไรให้กับบริษัทเพิ่มมากขึ้น   โดยปัจจุบัน TNR ทำธุรกิจอยู่ใน 3 ส่วน คือ ธุรกิจการประมูล มีสัดส่วนรายได้ 20%  ธุรกิจ OEM มีสัดส่วนรายได้ 70% และธุรกิจ Own Brand มีสัดส่วนรายได้ 10% ซึ่ง Own Brand แม้มีสัดส่วนน้อย แต่เป็นธุรกิจที่สามารถทำกำไรได้ดีถึงราว 50%  ดังนั้นการได้รับสิทธิ์การทำตลาดแบรนด์ PLAYBOY ก็จะทำให้สัดส่วนธุรกิจ Own Brand เพิ่มขึ้นเป็น 15%