ทีโอเอ กลับสู่เส้นทางการเติบโต กางแผน 5 ปีเติมเต็มสู่เจ้าตลาดอาเซียน

2132

ปี 2560 ที่ผ่านมา อาจเป็นปีสำคัญของบริษัทผู้นำตลาดสีทาอาคารของประเทศไทย “ทีโอเอ” ที่สามารถนำบริษัทเข้าไปจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ก็ถือเป็นปีที่ยินดีได้ไม่สุด เพราะผลประกอบการที่เคยเติบโตมาตลอด กลับสะดุดถดถอย

เพราะตลอด 3 ไตรมาสของปีที่ผ่านมา คนไทยทั้งประเทศอยู่ในอาการโศกเศร้ากับการอำลาพ่อหลวงวาระสุดท้าย บรรยากาศบ้านเมืองไร้สีสัน เช่นเดียวกับบรรยากาศของการตกแต่งบ้านที่หดหายไป ทำให้ยอดขายสีทาบ้าน ทาอาคารกว่าจะฟื้นคืนมาได้ก็ต้องรอถึงไตรมาสสุดท้ายของปี

พงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์(ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ความจริงแล้วความต้องการของตลาดไม่ได้ลดลง แต่อยู่ที่เงื่อนเวลาที่เหมาะสม เมื่อผ่านพ้นวาระสำคัญของประเทศ ในปีนี้ตลาดสีจึงน่าจะกลับมาเติบโตอีกครั้ง

โดย จตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA ได้ตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายในปี 2561ไว้ว่า จะเติบโตประมาณ 10% จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 15,717.7 ล้านบาท และเพิ่มศักยภาพการทำกำไรที่ดีขึ้น

จตุภัทร์กล่าวว่า นอกเหนือจากกำลังซื้อที่หดหายไปในปีที่แล้ว ในด้านวัตถุดิบในการผลิต Titanium Dioxide มีราคาสูงขึ้น ทำให้ต้องมีการปรับราคาจำหน่ายประมาณ 5% ถือเป็นการปรับราคาครั้งแรกในรอบ 3 ปี แต่ก็ทำให้แบรนด์สีอื่นในตลาดก็มีการปรับราคาขึ้นมาเช่นกัน สะท้อนให้เห็นถึงต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจริง ผู้บริโภคก็มีความเข้าใจ ปีนี้ ทีโอเอจึงจะมุ่งขยายตลาดทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนเพื่อสร้างการเติบโต ขณะที่ฐานะการเงินของทีโอเอในปัจจุบันถือว่ามีความแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดพร้อมขยายธุรกิจ และมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.2 เท่า

ปัจจุบัน ทีโอเอ มีการทำตลาดสีทาอาคารอยู่กลุ่มประเทศอาเซียนแล้ว 7 จาก 10 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, เมียนมาร์, อินโดนีเซีย และกัมพูชา

โดยการขยายตลาดในปีนี้ จะเพิ่มปริมาณเครื่องผสมสีอัตโนมัติภายในร้านผู้แทนจำหน่ายและในห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่อย่างต่อเนื่องอีกประมาณ 400-500 เครื่อง แบ่งเป็นในประเทศไทยประมาณ 150-200 เครื่องและในภูมิภาคอาเซียนประมาณ 250-300 เครื่อง จากสิ้นปีที่ผ่านมาที่มีการติดตั้งเครื่องผสมสีอัตโนมัติแล้ว 6,010 เครื่อง แบ่งเป็นในประเทศไทย 4,204 เครื่อง และในภูมิภาคอาเซียน 1,806 เครื่อง

นอกจากนั้น ส่วนสำคัญที่จะทำให้ทีโอเอ สามารถครองตลาดในประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนได้นั้น คือการเปิดโรงงานในประเทศนั้นๆ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตสี 3 แห่งในประเทศอินโดนีเซีย เมียนมาร์และกัมพูชา ใช้งบลงทุนรวมกว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งโรงงานทั้ง 3 แห่งคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3/61 ไตรมาส 4/61 และไตรมาส 1/62 ตามลำดับซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้  เพื่อเพิ่มยอดขายในแต่ละประเทศและก้าวเป็นผู้นำสีทาอาคารในภูมิภาคอาเซียนตามวิชั่นขององค์กร

พงษ์เชิด จามีกรกุล

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์(ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน)

พงษ์เชิดกล่าวว่า ที่ผ่านมา ในอินโดนีเซีย เมียนมาร์ และกัมพูชา มีสินค้าทีโอเอเข้าไปจำหน่ายมาระยะหนึ่งแล้ว แต่การที่จะเข้าไปเพิ่มส่วนแบ่งตลาดก้าวเป็นผู้นำในประเทศนั้นๆ จำเป็นต้องมีโรงงานเพื่อผลิต และจัดเก็บสต็อคสินค้าให้เพียงพอ โดยหากโรงงานผลิตทั้ง 3 แห่ง ก่อสร้างแล้วเสร็จ ทีโอเอจะมีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 102 ล้านแกลลอนต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 88 ล้านแกลลอนต่อปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดต่างประเทศและการเพิ่มสัดส่วนยอดขายต่างประเทศจากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 13.2% เป็นประมาณ 15-16% ในปีนี้ และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 20% ภายในปี 2562 ส่วนในระยะยาวอีก 3-5 ปีข้างหน้าคาดการณ์ว่าสัดส่วนยอดขายต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 28%

กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอเอ ให้รายละเอียดว่า อินโดนีเซียเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยหลังจากที่โรงงานใหม่เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์วางแผนรุกสร้างแบรนด์เพิ่มขึ้น เพิ่มความหลากหลายของรายการสินค้า เพิ่มจำนวนร้านผู้แทนจำหน่ายและการติดตั้งเครื่องผสมสีอัตโนมัติ ตั้งเป้าผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 300 ล้านบาทในปีนี้ และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 500 ล้านบาทในปี 2562 ส่วนในเมียนมาร์และกัมพูชาตั้งเป้ายอดขายในปี 2562 อยู่ที่ 200-300 ล้านบาท และ 300-400 ล้านบาทตามลำดับ หลังจากที่โรงงานใหม่ประเทศดังกล่าวเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อย  นอกจากนี้ อีก 3 ประเทศที่ยังไม่มีสินค้าทีโอเอเข้าไปทำตลาด ก็จะเป็นแผนต่อไปหลังจากโรงงานทั้ง 3 แห่งนี้เปิดดำเนินการ โดยฟิลิปปินส์ก็ถือเป็นอีกประเทศที่ทีโอเอสนใจจะเข้าไปตั้งโรงงาน ขณะที่บรูไน และสิงคโปร์สามารถส่งสินค้าจากโรงงานในมาเลเซีย และอินโดนีเซียออกไปจำหน่ายได้

“การเป็นผู้นำในตลาดประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนถือว่าไม่ใช่เรื่องยาก เพราะผู้เล่นที่อยู่ในตลาดหลายประเทศ เป็นแบรนด์ท้องถิ่นที่มีเทคโนโลยีการผลิตไม่ทันสมัยนัก เป็นสินค้าเกรดระดับล่างเป็นส่วนใหญ่ และมีส่วนแบ่งคนละเล็กน้อยกระจายในหลายแบรนด์ หากโรงงานทีโอเอสามารถเปิดดำเนินการได้ ก็จะเริ่มทำตลาดได้อย่างเต็มที่ด้วยสินค้าระดับพรีเมียม และระดับกลาง และเชื่อว่าจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในหลายประเทศได้ และจะเติมเต็มทั้งตลาดอาเซียนได้ในเวลา 5 ปี”

สำหรับตลาดสีทาอาคารในประเทศไทยปีนี้   ผู้บริหารทีโอเอคาดว่าจะมีอัตราเติบโต 3-5% หรือมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยมีปัจจัยมาจากภาพรวมเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวและภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีการลงทุนพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง การพัฒนารถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง โครงการขยายสนามบิน และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายตัวของเมืองและความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์วัสดุตกแต่ง

โดยการทำตลาดในประเทศไทย พงษ์เชิดกล่าวว่า ทีโอเอในฐานะผู้นำตลาดที่ครองส่วนแบ่งสูงถึง 80% จะเน้นไปที่กลุ่มสีพรีเมียมมากขึ้น เพราะปัจจุบันค่าแรงในการรับจ้าทาสีสูงขึ้นมาก ทำให้เจ้าของบ้านต้องเลือกใช้สีที่มีคุณภาพสูง ใช้งานได้นาน ซึ่งการนำเครื่องผสมสีมาให้บริการก็เป็นตัวกระตุ้นตลาดสีพรีเมียมให้เติบโตขึ้น เพราะมีความสะดวก ร้านค้าไม่ต้องสต็อคสีจำนวนมาก  โดยในประเทศไทย ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายของทีโอเอ 6,200 ร้านค้า มีเครื่องผสมสีอยู่ 4,200 เครื่อง รองรับความต้องการได้เพียงพอ  โดยสัดส่วนการขายของทีโอเอปัจจุบัน เป็นสีกลุ่มพรีเมียม 40%  กลุ่มมีเดียม 50% และกลุ่มประหยัด 10% ซึ่งในอนาคต 2 กลุ่มแรกจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้น และกลุ่มประหยัดจะหายไปจากตลาด

บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ คาดว่า EBITDA margin จะดีดตัวขึ้นเป็น 18.9% จาก 16.0% ในปี2560 สูงกว่าเป้าของ TOA ที่ 18.5% อยู่เล็กน้อย เนื่องจาก  คาดว่าอัตรากําไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 36.5% ในปี 2561 จาก 34.1% ในปี 2560 จากการปรับขึ้นราคาขายสินค้าในประเทศ (นอกจากจะครอบคลุมต้นทุนวัตถุดิบที่แพงขึ้น ยังเหลือส่วนที่สามารถรองรับหากต้นทุนวัตถุดิบจะขยับสูงขึ้นอีกด้วย คาดว่ายอดขายในประเทศจะฟื้นตัวตามการก่อสร้างภาคเอกชน  ขณะที่ สถานการณ์ธุรกิจของทีโอเอในเวียดนามกลับสู่ระดับปกติหลังจากสะดุดช่วงสั้น

แนะนําซื้อและให้ราคาเป้าหมายปี 2561 ที่ 40.50 บาท อิงจากPER โดยให้ discount จากคู่แข่งในภูมิภาค 15% เนื่องจากกําไรมีแนวโน้มเติบโตสูง (+39%YoY ในปี 2561) เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค