PwC ชี้ความเชื่อมั่นซีอีโอเอเปกต่อรายได้พุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี ชี้ไทยติดโผตลาดน่าลงทุน

1590

ในวาระประชุมสุดยอดผู้นำ APEC CEO Summit ปีนี้ทาง “PwC ประเทศไทย” ได้ทำการสำรวจผู้บริหารในกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปก จำนวนกว่า 1,400 รายใน 21 ประเทศ ในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม- กรกฎาคม 2560

โดยกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดเเป็นตัวแทนจากภาคธุรกิจที่มีการลงทุนใน 6 ประเทศเศรษฐกิจโอเปกนอกเหนือจากประเทศเศรษฐกิจของตัวเอง โดยมากกว่าครึ่งขององค์กรที่ถูกสำรวจมีรายได้ต่อปีมากกว่า 1 พันล้านเอลลาร์สหรัฐ

“ศิระ อินทรกำธรชัย” ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจ APEC CEO Survey 2017 ที่ใช้เผยแพร่ในการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC CEO Summit ประจำปี 2560 ณ เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 8-10 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมาว่า พบว่า แม้ว่าปีนี้จะมีปัจจัยความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้าและความตึงเครียดทางการเมืองของประเทศสมาชิกเอเปกหลายราย แต่มีซีอีโอเอเปก 37% ที่แสดงความเชื่อมั่นมากว่าธุรกิจและรายได้ของบริษัทในอีก 12 เดือนข้างหน้าจะเติบโตขึ้น

นับเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2557 และเพิ่มขึ้นจาก 28% ในปีที่ผ่านมา

เตรียมแผนเพิ่มการลงทุนในตลาดโลก

นอกจากนี้ 50% ของผู้บริหารเอเปกยังมีแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในตลาดโลก (รวมทั้งประเทศที่อยู่นอกภูมิภาคเอเปก) มากขึ้น (ปี 2559 เท่ากับ 43%) โดยพบว่า 71% ของซีอีโอที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในปีนี้ จะมุ่งขยายตลาดไปในภูมิภาคเอเปกด้วยกัน ขณะที่ 63% คาดว่า จะขยายการลงทุนไปสู่ตลาดโลกมากขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า

สำหรับประเทศที่ถูกจับตาให้เป็นเป้าหมายของการลงทุนภายในประเทศ (Domestic investment) มากที่สุดในปีนี้ ได้แก่ เวียดนาม รัสเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย

ในทางกลับกัน ประเทศที่ถูกจัดให้เป็นเป้าหมายของการลงทุนจากต่างประเทศ (Overseas investment) มากที่สุด ได้แก่ เวียดนาม จีน อินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา และ ไทย ตามลำดับ

อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ ซีอีโอมาเลเซียและซีอีโอเวียดนามที่ถูกสำรวจมากถึง 89% และ 86% ยังคาดที่จะขยายธุรกิจของตนสู่ตลาดโลกอีกด้วย

“ศิระ” บอกว่า สาเหตุที่ผู้บริหารเอเปกในปีนี้จัดอันดับให้ไทยติดอันดับประเทศเป้าหมายการลงทุนที่น่าสนใจ และคาดว่าจะได้รับเม็ดเงินจากการลงทุนของต่างประเทศมากขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า เนื่องมาจากความพยายามอย่างต่อเนื่องของไทยในการออกมาตรการและนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ดึงดูดความน่าสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งยังมีการปรับปรุงแก้ไขข้อกฎหมายที่ล้าหลัง

นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายของภาครัฐภายใต้โรดแมป ไทยแลนด์ 4.0 ที่มุ่งพัฒนาประเทศไปสู่การเพิ่มคุณค่าให้กับแรงงานและระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มากขึ้น ยังช่วยเชื่อมต่อไทยกับประชาคมโลก ซึ่งทั้งหมดทำให้ไทยมีความน่าสนใจและกลายเป็นเป้าหมายของการเข้ามาลงทุนของนักธุรกิจต่างชาติมากขึ้น

อีกแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในไทย คือ ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศที่มีการปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของตัวเลขการส่งออก การท่องเที่ยว และการบริโภคของครัวเรือน ซึ่งถือเป็นปัจจัยสนับสนุนของความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย หรือ จีดีพี ในช่วงไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 3.7% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกขยายตัว 3.5%

ไม่เพียงเท่านี้ ในรายงานการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ หรือ Doing Business 2018 ของธนาคารโลกที่ผ่านมา ยังจัดให้ไทยมีอันดับดีขึ้น โดยไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ง่ายต่อการเข้าไปทำธุรกิจอยู่ในอันดับที่ 26 จากอันดับที่ 46 ในปีก่อน จากจำนวนทั้งหมด 190 ประเทศทั่วโลก และยังเป็นประเทศอันดับที่ 3 ในภูมิภาคอาเซียน รองจาก สิงคโปร์ และ มาเลเซีย

หวั่นเคลื่อนย้ายแรงงานเข้มกระทบธุรกิจ

ด้าน “บ็อบ มอริตซ์” ประธาน บริษัท PwC โกลบอล ได้แสดงความเห็นว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริหารเอเปกในปีนี้ สะท้อนให้เห็นว่า พวกเขาไม่ได้นั่งรอคอยให้หมอกของความไม่ชัดเจนหมดไปก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใดๆ
ความเชื่อมั่นดังกล่าวจึงน่าจะช่วยผลักดันให้เอเปกสามารถเพิ่มบทบาทในเวทีโลก และสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมการควบรวมต่างๆ เพิ่มขึ้น เห็นได้จาก 71% ของซีอีโอที่ถูกสำรวจ คาดหวังที่จะหาโอกาสในการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ หรือกิจการร่วมค้าเพิ่มขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ดี ซีอีโอเอเปกมีความกังวลเกี่ยวกับเงื่อนไขและข้อจำกัดทางการค้าเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนย้ายแรงงานและสินค้า ถือได้ว่าเป็นประเด็นสำคัญของการหารือกันในการประชุมเอเปกครั้งนี้ เพราะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการแข่งขันและการเติบโตขององค์กร โดย 30% ของผู้บริหารที่ถูกสำรวจต้องการให้เอเปกเป็นเวทีในการหารือร่วมกันเพื่อหาทางออกให้กับทิศทางของการเคลื่อนย้ายแรงงานในอนาคต

ในส่วนของการผลักดันให้เกิดความร่วมมือกันทางเศรษฐกิจมากขึ้น ผู้บริหารส่วนใหญ่มองว่า แม้เอเปกมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่พัฒนาการดังกล่าวยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า โดย 31% ของซีอีโอในสหรัฐฯ มองว่า ความคืบหน้าของการค้าเสรีในเอเชียแปซิฟิกได้หยุดชะงักหรือแม้กระทั่งถอยหลัง เทียบกับ 18% ของทั่วทั้งภูมิภาค

ผลสำรวจยังระบุด้วยว่า เกือบ 1 ใน 4 ของซีอีโอเอเปกได้เผชิญกับสภาพแวดล้อมทางการค้าที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจ้างแรงงานต่างชาติ (23%) หรือการเคลื่อนย้ายสินค้าข้ามแดน (19%)

ขณะที่ 30% ของซีอีโอคาดว่า ข้อจำกัดด้านแรงงานจะเพิ่มขึ้นในระยะสั้น และ 1 ใน 4 คาดว่า อุปสรรคในการเคลื่อนย้ายสินค้าจะยิ่งเพิ่มขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดย 50% ของซีอีโอในสิงคโปร์ ประเทศที่ถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ยังยอมรับด้วยว่า น่าจะเห็นอุปสรรคของการเคลื่อนย้ายแรงงานเพิ่มขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า

ตรียมปรับแผนลงทุนผ่านพันธมิตรธุรกิจ

จากผลการสำรวจดังกล่าว ซีอีโอส่วนใหญ่ หรือ 71% จึงมองหาการขยายการเติบโตผ่านการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ หรือกิจการร่วมค้ามากขึ้นเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ขณะที่ 68% มีแผนในการขยายธุรกิจภายในประเทศ หรือกับประเทศที่มีความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี

นอกจากนี้ ซีอีโอเอเปกยังระบุว่า การแข่งขันจากประเทศชั้นนำในกลุ่มเศรษฐกิจเอเปก และกลุ่มประเทศเติบโตสูงได้ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน โดยระดับความรุนแรงของการแข่งขันของประเทศเหล่านี้ เมื่อรวมกันยังแซงหน้าการแข่งขันจากบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว

ขณะที่ 19% ของผู้บริหารเชื่อว่า คู่แข่งรายสำคัญที่สุดในอีก 3 ถึง 5 ปีข้างหน้าคือ บริษัทข้ามชาติจากกลุ่มประเทศเติบโตสูง หรือ ผู้เล่นรายใหญ่ในระดับภูมิภาคเอเปกที่ 22% โดยมีซีอีโอ 32% ที่ยังเชื่อว่า บริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ในประเทศที่พัฒนาแล้วคือคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด ลดลงจาก 41% ในปี 2557

เล็งปฏิวัติองค์กรสู่กำลังแรงงานแบบดิจิทัล

​ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย ยังบอกด้วยว่า ความเชื่อมั่นของซีอีโอเอเปกที่เพิ่มขึ้นยังมีส่วนกระตุ้นให้ความตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรมที่จะถูกนำมาใช้ในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตมีมากขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซีอีโอในกลุ่มอาเซียนที่มองว่า ระบบอัตโนมัติ (Automation) จะเป็นตัวแปรสำคัญของการขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กรไปสู่การพัฒนากำลังแรงงานในรูปแบบดิจิทัล โดย 58% ของซีอีโออาเซียนระบุว่า ได้ทำการเปลี่ยนถ่ายระบบงานบางอย่างผ่านการใช้ระบบอัตโนมัติแล้ว ขณะที่ 40% กำลังลงทุนในเทคโนโลยีเกิดใหม่และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine learning) และอีก 41% ระบุว่า พนักงานมีทักษะในการใช้เครื่องมือระบบอัตโนมัติใหม่ๆ

โดยประเด็นที่ซีอีโอเอเปกยังมีความกังวลเพิ่มขึ้นด้วย คือ ความสามารถในการสรรหาทักษะที่ต้องการเพื่อให้องค์กรสามารถแข่งขันในเวทีระดับโลก