“ชินโซ อาเบะ” กับการเปลี่ยนแปลงหลังชนะการเลือกตั้งญี่ปุ่น

8100

เรื่องโดย : ผศ.ดร.ณัฐธเดชน์ ชุ่มปลั่ง ภาควิชาสาธารณสุขศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ International University of Health and Welfare ประเทศญี่ปุ่น

「この国を、 守り抜く」(จะปกป้องประเทศนี้ให้ถึงที่สุด) เป็นสโลแกนในการหาเสียงเลือกตั้งสภาล่างเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมาของพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ LDP (Liberal Democratic Party)

หลังจากมีการประกาศผลเลือกตั้ง “พรรคเสรีประชาธิปไตย” ของ นายชินโซ อาเบะ ได้รับชัยชนะในการลงคะแนนเสียงอย่างถล่มทลาย โดยรวมที่นั่งร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาล ได้ที่นั่งในสภารวมกัน 312 ที่นั่ง จึงสามารถรักษาเสียงข้างมากอย่างชัดเจนเด็ดขาดในสภาผู้แทนราษฎรที่มีที่นั่งทั้งหมด 465 ที่นั่ง

ซึ่งชัยชนะจากการเลือกตั้งนี้ได้ช่วยให้นายอาเบะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกสมัยจนถึงปี 2021 และกลายเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรียาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองและเป็นผู้นำญี่ปุ่นคนแรกที่ดำรงตำแหน่งถึง 3 สมัย(แม้ไม่ต่อเนื่องกันก็ตาม)

บรรยากาศการปักดอกไม้ที่ชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้รับที่นั่งในสภาอย่างเป็นทางการ   :  ภาพจากหนังสือพิมพ์ 産経新聞社

การเลือกตั้งในครั้งนี้เกิดจากการตัดสินใจยุบสภาล่างญี่ปุ่นและจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนด ซึ่งเป็นความพยายามของนายอาเบะเพื่อสร้างเสถียรภาพของรัฐบาลและปฏิบัติเป้าหมายต่างๆ ที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ท่ามกลางวิกฤติหลายอย่างที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญ อาทิเช่น ภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธข้ามเกาะฮอกไกโดถึง 2 ครั้ง ปัญหาเรื่องสิทธิในการถือครองดินแดนซึ่งมีปัญหาระหว่างจีน รัสเซีย และเสียงไม่ไว้วางใจพรรคในสภาจากการที่ลูกพรรคมีคดีอื้อฉาว เป็นต้น

ผลจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ นับว่าเป็นการเปิดทางให้นายอาเบะได้กลับเข้ามาดำเนินนโยบายการผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้านการทหารในสภาวการณ์ที่ภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือที่นับวันได้เพิ่มมากขึ้นหลังจากประกาศผลการเลือกตั้งนายอาเบะได้กล่าวแสดงความขอบคุณประชาชนที่ให้ความไว้วางใจพรรคของตนภายใต้รากฐานทางการเมืองที่มั่นคงเข้มแข็ง และกล่าวย้ำ ยืนยันการดำเนินนโยบายที่ได้ประกาศไว้ในตอนหาเสียงต่อไป

ทั้งนี้ ผู้เขียนมองว่าการได้รับเลือกตั้งกลับเข้าบริหารประเทศของนายอาเอะในครั้งนี้นอกเหนือจากจะเป็นการยืนยันว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังให้ความไว้วางใจและความเชื่อมั่นกับการทำงานของพรรค LDP แล้ว คนญี่ปุ่นโดยทั่วไปยังมองไม่เห็นผู้นำคนใดที่จะขึ้นมาแทนนายอาเบะได้ ถึงแม้จะมีนักการเมืองหลายคนที่ท้าทายและประกาศโค่นรัฐบาลอาเบะก็ตาม อย่างเช่น พรรคแห่งความหวัง ของยุริโกะ โคะอิเคะ ก็ไม่สามารถเอาชนะพรรค LDP ได้

ภาพบรรยาการการโต้คารมในงานแถลงนโยบายโดยหัวหน้าพรรค ระหว่างโคอิเคะ ยุริโกะ  : ภาพจาก https://news.biglobe.ne.jp/domestic/1008/jc_171008_5383453129.html

ในส่วนหนึ่งมองว่าสาเหตุของการชนะเลือกตั้งส่วนหนึ่งมาจากการที่สื่อต่างๆพยายามประโคมข่าวของพรรค LDP ในเรื่องอื้อฉาวต่างๆของนายอาเบะมากจนเกินความพอดี และโน้มน้าวให้คนขาดศรัทธาและขาดความเชื่อมั่นในตัวผู้นำ ทำให้เกิดผลตรงกันข้าม กลายเป็นเรื่องที่มีน้ำหนักเบาจนไม่มีผลกับการลงคะแนนแต่ประการใด

ประกอบกับความไม่สามัคคีและการแตกคอของพรรคฝ่ายค้านและพรรคคู่แข่ง ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่งที่ประชาชนทั่วไปจับตามอง นอกจากนี้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวญี่ปุ่นยังมีความเชื่อมั่นอีกว่า นายอาเบะเป็นผู้นำที่มีท่าทีที่แข็งกร้าวในการเผชิญกับความเสี่ยงด้านนิวเคลียร์จากเปียงยาง จนเป็นผลให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งส่วนใหญ่หันมาลงคะแนนให้กับพรรค

การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นหลังจาก อาเบะ “รีเซ็ท” รัฐบาลใหม่

1.การรับมือกับภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ

ภาพจาก https://news.yahoo.co.jp/

รัฐบาลอาเบะประกาศกร้าวอย่างชัดเจนในเรื่องการรับมือกับภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือที่เพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับน่าวิตก โดยมีแผนอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลจะทำทุกวิถีทางในการทำให้รัฐบาลเกาหลีเหนือล้มเลิกแผนการทดลองอาวุธนิวเคลียร์

และพยายามช่วยเหลือคนญี่ปุ่นที่ถูกทางการเกาหลีเหนือจับไป โดยประสานความร่วมมือไปยังรัฐบาลสหรัฐอเมริกา สร้างความร่วมมือทางด้านการทูตและด้านการกลาโหมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้ขอความร่วมมือจากเวทีในระดับชาติอย่าง UN เพื่อให้ประชาคมโลกสร้างแรงกดดันให้เกาหลีเหนือระงับการทดลอง

ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงในระดับประเทศ ต่อแต่นี้ไปญี่ปุ่นจะเสริมความสามารถในการรับมือกับการทดลองมากขึ้น เช่น การซ้อมรับมือในกรณีที่ถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธ การปฏิบัติตัวในยามที่เกาหลีเหนือทำการทดลอง ซึ่งประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นที่คนญี่ปุ่นกังวลอยู่ไม่น้อยถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

ต้นเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้จะมีการเดินทางมาเยือนของประธานาธิปดีทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา แน่นอนที่ประเด็นการรับมือจากภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือจะเป็นเรื่องสำคัญในการปรึกษาหารือและกำหนดทิศทางในอนาคตญี่ปุ่นต่อไป

2.นโยบายทางเศรษฐกิจ“อาเบะโนมิคส์”กับการขึ้นภาษีบริโภค

ชัยชนะจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ ทำให้นายอาเบะสามารถเดินหน้านโยบาย “Abenomics” ซึ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยอัดฉีดสภาพคล่อง พร้อมคงดอกเบี้ยต่ำให้ดำเนินอย่างต่อเนื่องได้ โดยในนโยบายการหาเสียง (Manifesto) นั้น ได้อ้างอิงถึงความสำเร็จของพรรคที่ได้ดำเนินนโยบายต่อเนื่องมาตลอดปี จนทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวและประกาศกร้าวอย่างแข็งขันว่าจะเพิ่มการปฏิวัติการผลิตและการปฏิวัติการเสริมสร้างคน เพื่อส่งเสริมสภาพคล่องทางเศรษฐกิจด้วย

นอกจากนี้ ต่อไปอีก2ปี จะมีการดำเนินแผนการขึ้นภาษีบริโภคจาก 8% เป็น 10% ซึ่งคาดว่าน่าจะมีขึ้นในเดือนตุลาคม 2562 การขึ้นภาษีครั้งนี้ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับนายกอาเบะอีกครั้งว่าท่านผู้นำจะนำพาประเทศให้หลุดพ้นจากวงจรราคาสินค้าตกต่ำและเศรษฐกิจที่ซบเซา ด้วยแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับการขนานนามว่า “Abenomics” ได้หรือไม่

การปรับขึ้นภาษีเมื่อปี 1997 หรือเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดยปรับเพิ่มจาก 3% เป็น 5% ทำให้ญี่ปุ่นต้องเผชิญปัญหาเงินฝืดเรื้อรัง และเศรษฐกิจที่เติบโตช้าต่อเนื่องนานหลายปี ดังนั้น การประกาศขึ้นภาษีในครั้งนี้ควรต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เตรียมตัวด้วย

3.การแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา9

พาดหัวข่าวเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

การปรับปรุงแก้ไขมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นเป็นอีกประเด็นที่ได้รับการจับตามองทั้งภายในและต่างประเทศ ซึ่งในมาตรานี้ระบุใจความสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ “ชนชาวญี่ปุ่นยอมสละจากสงครามไปตลอดกาลนาน โดยให้ถือเป็นสิทธิสูงสุดแห่งชาติ กับทั้งสละจากการคุกคามหรือการใช้กำลังเพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างชาติ“

กับอีกประการหนึ่งคือ “ไม่มีการธำรงไว้ซึ่งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ กับทั้งศักยภาพอื่นๆ ในทางสงคราม ไม่มีการรับรองสิทธิในการเป็นพันธมิตรในสงคราม” เพื่อจะบรรลุเป้าประสงค์เหล่านี้ ถึงแม้ญี่ปุ่นจะไม่มีการธำรงไว้ซึ่งกองทัพก็ตาม แต่ญี่ปุ่นก็มีกองกำลังป้องกันตนเอง

ซึ่งทางรัฐบาลอาเบะนั้นมีความต้องการที่จะเพิ่มบทบาทของกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นและเพิ่มทักษะความสามารถของรัฐบาล หากต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากคาบสมุทรเกาหลีและการขยายกำลังทหารของประเทศจีน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตลอด 70 ปีที่ผ่านมาตามแนวทางการพัฒนากองกำลังป้องกันตนเองให้เป็นกองทัพที่มีบทบาทในเชิงรุกที่พยายามกำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ได้สร้างความวิตกกังวลให้กับสังคมโลก โดยเฉพาะในประเทศจีนและประเทศเกาหลีใต้ที่เข้าใจว่าพฤติกรรมของความเคลื่อนไหวดังกล่าวของญี่ปุ่น อาจเป็นผลให้ญี่ปุ่นเข้ามาแทรกแซงในสงครามต่างๆ

ดังนั้น ถ้าหากผลักดันการปรับปรุงรัฐธรรมนูญในตอนนี้จะสร้างความขัดแย้งระหว่างฝ่ายต่างๆ ทั้งภายในประเทศที่มีประชาชนคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และในต่างประเทศที่มีจีน เกาหลีซึ่งในอดีตเคยเป็นผู้ได้รับผลกระทบเมื่อครั้งสมัยที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศจักรวรรดินิยม

ฉะนั้นตัวนายอาเบะเองคงจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบถี่ถ้วน และรับฟังเสียงของประชาชนเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ และเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนต่อไป

“ชินโซ อาเบะ” เป็นผู้นำที่พูดจริงทำจริง ประกอบกับแต่เดิมมีสายเลือดนักการเมืองที่สืบทอดมาจากรุ่นปู่และพ่อ การที่ตนได้ลงมาเล่นการเมืองเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี และก้าวเข้าสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรค และขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย

เพราะนอกจากประสบการณ์ทางการเมืองที่โชกโชน มีผลงานเป็นที่ยอมรับ และมีบารมีทางการเมืองเป็นที่เลื่อมใสนับหน้าถือตาในหมู่นักการเมืองแล้ว เรื่องของความเป็นนักปฏิบัติที่จริงจังในการแก้ปัญหาก็นับเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่นให้กับประชาชนส่วนใหญ่อีกด้วย

ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ ผู้เขียนไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ผู้เขียนเป็นห่วงและกังวลมากที่สุดคือ สภาพการณ์ระหว่างประเทศที่รายล้อมญี่ปุ่น ซึ่งมีผลต่อการตัดสินอนาคตของประเทศ

วาระของสภาล่างชุดใหม่ที่กำลังจะเข้ามาและจะดำเนินไปอีกจนถึงเดือนตุลาคม 2021 นายกรัฐมนตรีอาเบะต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงชื่อเสียงของตน และผลักดันนโยบายที่เข้มแข็งมากขึ้นต่อทั้งปัญหาภายในและต่างประเทศ ซึ่งชัยชนะในการเลือกตั้งสภาล่างครั้งนี้จะเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญเพื่อสร้างผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมให้กับประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นในสังคมนานาชาติต่อไป

 

ขอบคุณรูปภาพ Featured จาก : https://special.jimin.jp/common/img/sns_lbdems.jpg?20171010